|
ในช่วงชีวิต
หนึ่งที่คุณเกิดมา…คุณฝันอยากที่จะทำอะไรบ้าง ?
ผมชอบฝันเพ้อเจ้ออยู่เสมอ...ฝันว่าอยากทำวงดนตรีร็อคแบบ underground
ผมก็ได้ทำในนามของ RETROSPECT
เมื่อพวกเรามีวงก็อยากจะมีเพลงมีแผ่นเป็นของตัวเอง….. เราก็ได้ทำ
และพวกเราฝันกันอยากจะอยู่ค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง gmm grammy
โดยที่คงความหนักหน่วงไว้…พวกเราก็ได้เซ็นสัญญา
เมื่อเริ่มเป็นที่รู้จักของกลุ่มวัยรุ่นส่วนใหญ่ เราก็ฝันล้มๆแล้งๆ
ว่าพวกเราอยากไปเล่นเทศกาลดนตรีระดับโลกซักครั้งในชีวิตก็ยังดี
และความฝันนั้นกำลังจะเป็นจริง เมื่อวง RETROSPECT
เป็นหนึ่งในรายชื่อที่ถูกขึ้นเล่นในเวทีดนตรีระดับโลกอย่าง wacken open
air 2009 พวกเราตกอยู่ในห้วงของความฝันครั้งยิ่งใหญ่ที่กลายเป็นจริงแล้ว
ลอยมาก !!!! เหตุการณ์นี้เริ่มจากการที่พวกเราสร้าง myspace ของวงขึ้นซึ่งนานมากๆแล้ว
มีเมล์จากฝรั่งคนหนึ่งซึ่งส่งมาว่าชอบเรามากๆ
ต้องการจะให้เราไปเล่นงานๆนี้ ซึ่ง ผมก็คิดในใจว่าแม่งเว่อร์
เกินไปรึเปล่า และไม่เชื่อเด็ดขาด เพราะมันไม่ทีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว
จากนั้นจดหมายเริ่มส่งถี่ขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งพี่บอม(เบส) ได้ตอบกลับไปเรื่อยๆ
จนเอะขึ้นมาในใจ เราจะได้ไปจริงๆกันเหรอวะ
จนวันหนึ่งมีจดหมายมาอย่างเป็นทางการบริษัท ics
ระบุว่าว่าต้องใช้เครื่องอะไรบ้างพร้อมรายชื่อคนที่จะไปทั้งหมด
โอ้.....แม่งจริงนี่หว่า! และชื่อของวง retrospect ก็ขึ้นในเวป wacken
..... เท่านั้นหล่ะ
พวกเรากลับมาซ้อมกันอย่างหนักเหมือนช่วงเริ่มตั้งวงใหม่ทีเดียว
และขอเรียนตามตรงว่า ค่ายของเราไม่มีส่วนรู้ส่วนเห็นในการไปงานในครั้งนี้
พวกเราประสานงานกันเองจนค่ายมาทราบว่าพวกเราจะได้ไปเยอรมันกัน
ค่ายไม่ได้ยัดเงินให้เราไปเล่นครับ และพวกเราคงไม่ทำแบบนั้นแน่ๆเพราะ
มันเสียศักดิ์ศรีหว่ะ ทานโทษ 555555 |
พวกเราออกจากสนามบินสุวรรณาภูมิในวันที่ 29 ก.ค 2552 เวลา 23.30น
มีแฟนเพลงที่เคารพรักมาส่งกันเยอะพอสมควร
ถามว่าตื่นเต้นกันไหมขอบอกว่า...ที่สุด
เพราะเป็นการเล่นคอนเสิร์ตต่างประเทศครั้งแรกของวงและหลายๆคนในวงและทีมงาน
ไม่เคยไปต่างประเทศกันเลย การเดินทางครั้งนี้ไปด้วยกันทั้งหมด 10 ชีวิต
ประกอบไปด้วย วง retrospect 4 คน พี่โน่(producer) พี่ดิษ(sound engineer)
กู้ด,เดียร์,พี่มอส ( stage crew) และคนจาก gmm inter
ผมขอให้เครดิตทุกคนเพราะทุกคนมีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้นกับ วง RETROSPECT
พวกเราออกจากกรุงเทพไปถึงเวียนนาในเวลาประมาณ 10 ชั่วโมง และจากเวียนนาไป
hamburg ใช้เวลา เกือบ 2 ชั่วโมง เมื่อถึง hamburg เป็นวันที่ 30 ก.ค.
เวลาประมาณ 10.00 น. ความตื่นเต้นได้เริ่มขึ้นแล้ว! มีทีมงานของ wacken
มารับเราเป็นผู้หญิงที่เต็มไปด้วยรอยสัก ขับ shuttle artist มารับ
เป็นรถตู้ในฝันของพวกเราเพราะว่าคันมันใหญ่มากสีดำเหมือนกับที่วงร็อคระดับ
โลกเค้าใช้กัน และที่สำคัญ คุณนิโคลเพิ่งมาขับรถแบบนี้ครั้งแรก ลอยมาก!
ขับได้โหดมากเกือบขับชนที่ขั้นเก็บค่าผ่านทาง
จนทีมงานเราแอบพูดเป็นภาษาไทยว่า " เห้ยฉันขับรถได้นา "
ซึ่งเขาไม่เข้าใจอยู่แล้วก็ขำกันลั่น นั่งตัวเกร็งจนถึงโรงแรม courtyard
marriott ซึ่งนักดนตรีที่เข้าพักมีมากมายเช่น
dragonforce , napalm death , bullet for valentine , amon amarth , whiplash
, และหลายวงที่ผมไม่รู้จัก ผมได้เอ่ยขึ้นมาว่า "เรามาที่นี่กันได้ไงวะ
นี่กูฝันไปรึเปล่า " ตลอดเวลาพวกเราจะพูดกันอย่างนี้บ่อยครั้งมากๆ
แต่เรามายืนอยู่ตรงนี้จริงๆแล้วนิ ชั้นที่พวกเรานอน อยู่ชั้นเดียวกับ
bullet for my valentine , napalmdeath , dragon force , ได้เจอกันที่
lobby หลายครั้ง พวกเขายิ้มและทักทายเรา อัธยาศัยดีมาก ไม่น่าเชื่อ!
และวันนี้เป็นวันแรกที่มีคอนเสิร์ต wacken
มีวงมากมายที่พวกเรายอมรับว่าไม่รู้จักอยู่หลายวง
และค่อนข้างเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางปรับเวลายังไม่ค่อยทัน
เลยออกไปเที่ยวกันแบบสบายๆในเมือง hamburg โดยกันนั่งรถไฟ เปิดแผนที่ดู
ไปถ่ายรูปกัน ไปช้อปปิ้งกันแต่ซื้ออะไรไม่ได้มากเพราะของโคตรแพง
น้ำเปล่าขวดเล็ก ขวดละ 160
บาทคิดเอากันเอาเองแล้วกันว่าอย่างอื่นจะแพงซักแค่ไหน
และอากาศก็แปรปรวนมาก หนาว ฝนตก แดดเปรี้ยง แล้วก็หนาวอีก
เราเลยไปนั่งดื่มอะไรเย็นๆที่ริมน้ำในตัวเมืองบรรยากาศดีมาก "
มากันได้ไงวะ 5555 " ใครซักคนพูดขึ้นมาอีกหลายๆครั้งตามเคย
ได้มีโอกาสเห็นรถสวยๆหลายคันหลายรุ่น (พวกเราเป็นพวกบ้ารถกัน)
จนขนาดทำใบขับขี่สากลมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ
แต่ถึงที่เช่ารถต้องเดินถอยหลังเพราะมันโคตรแพงรวมถึงน้ำมันด้วย
ฉะนั้นบ้านเราอย่าบ่นน้ำมันแพงเลยครับหึหึหึ
ตกเย็นเราไปนั่งกินพิซซ่าร้อนๆสดๆร้านลุงที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย
ลอยมากคราวนี้ใช้ภาษามือกันแหลก พี่บอมเลยหมดความหมายไปในทันทีหึหึ
จากนั้นพวกเราก็กลับเข้านอน พร้อมกับภารกิจอันยิ่งใหญ่ในวันพรุ่งนี้
ต้องออกจากโรงแรม 8.30 น. เพื่อใช้เวลาเดินทางไปที่งาน wacken 1
ชั่วโมงเศษๆ เย้!คนขับไม่ใช่ป้านิโคล พวกเรารอดตายแล้วเว้ย 5555
ก็ออกเดินทางออกจากโรงแรม ไประหว่างทาง
ผมได้มีโอกาสฟังเพลงที่ผมชอบฟังตอนสมัยตั้งวงกันใหม่ๆ อย่าง
on my own - the used
ทำให้ผมแอบน้ำตาไหลมาแบบไม่รู้ตัว
รู้สึกว่าจากวันนั้นพวกเรามากันไกลมากๆเกินที่ฝันไว้มากๆ
(เรื่องนี้ไม่มีใครรู้นะเนี่ย แต่ตอนนี้คงรู้แล้วหล่ะ หึหึหึ)
ความตื่นเต้นเริ่มทวีคูณเพิ่มขึ่นเรื่อยๆ เมื่อเห็นทางเข้างาน wacken
แต่พวกเราต้องไป check-in ก่อนเป็นระบบมากๆ และได้บัตรห้อยคอ artist -
wacken พร้อมกับสร้อยเหล็ก มาสวมไว้ที่คอกันทุกคน
ผมรู้สึกขนลุกสุ่ขึ้นมาทันที และแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวอีกครั้งหนึ่ง
แต่ตอนนี้ไม่ได้ใส่แว่นแล้วเดี๋ยวเพื่อนรู้ เดี๋ยวไม่เท่ห์ 5555
เมื่อทุกคน check in เสร็จแล้ว ก็เดินทางกันไปบริเวณงาน
เริ่มเห็นกลุ่มคนเสื้อดำมากขึ้นเรื่อยๆ มีป้ายเป็นซุ้มก่อนเข้างาน
WELCOME TO METALHEAD
และผมก็พูดขึ้นว่า "แม่งของจริงหว่ะ!" จนทำให้ผมรู้สึกกดดันตัวเอง เพราะ
metal head หลายคนในบ้านเรามักจะเต็มไปด้วย ego ที่จัดจ้าน
ยืนกอดอกดูคอนเสิร์ต (มึงเป็นอะไรมากป่าวครับ) ใครเล่นไม่ดีก็โห่ไล่
ทำให้ผมคิดไปต่างๆนาๆ และเกิดความเครียดขึ้นพอสมควร
ทีมงานพาพวกเราไปบริเวณ party stage สถานที่จริงที่เราจะขึ้นเล่น โอ้โห
ทำไมมันใหญ่ขนาดนี้วะ คิดในใจ
คนดูเริ่มเดินกันเข้ามาเพราะมีการเปลี่ยนแปลงคิวกันเกิดขึ้น !
napalm death
จะมาเล่นเปิดวงเปิดในเวที party stage ก่อนวงของพวกเราจะขึ้นเล่น! ลอย
คนเริ่มทะยอยมากันเป็นหลักหลายพันคน เสียงคนเรียกโห่ร้องเรียก napalm
death ทำให้ผมยิ่งกดดันเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ ขนลุกชัน!
เพราะไม่เคยได้ยินเสียงโห่ร้องจากฝรั่งแบบสดๆอย่างนี้มาก่อน พวกเราดู
napalm death อย่างใกล้ชิด ข้างๆเวที ใส่กันยับ ดุเดือดมาก ท่าทางของ
barney greenway (นักร้อง) ดูตลกดีแต่เสียงของเขานั้นโหดมากๆ เพลงหนักดี
ซับซ้อน แต่เล่นเคลียร์มากๆ ไม่รก จนน่ารำคาญหู พวกเขาเล่นกันไปประมาณ 50
นาที ก่อนจบลงด้วยความเมามันส์ ผู้คนโห่ร้องเหมือนจะเป็น encore สุดยอดมาก
เอาแล้วสิถึงตาเราบ้างเราผมอยู่กับที่ไม่ได้เดินวนไปวนมาอยู่หลายรอบอีก 1 ชั่วโมงเราก็จะโชว์แล้ว ผู้คนเดินทยอยไปดู
UFO
เวทีของพวกเรานั้นว่างเปล่าเหลือคนอยู่ไม่มากนัก
และช่วงเวลาที่ประทับใจกำลังจะเริ่มขึ้น ผู้คนไม่มากนัก
เพราะคนดูต่างเดินทางไปเวที black stage ซึ่งวงที่กำลังจะขึ้นเล่นเป็นวง
black metal ชื่อดัง จากบ้านเขาอย่าง ENDSTILLE
ซึ่งเล่นเวลาเดียวกับเราพอดี แต่ความกดคันไม่ได้ลดน้อยลงเลย ผมกลัวฝรั่งจะ
anti ชาว asia ซึ่งสำหรับเพลงแนวนี้พวกเราเหมือนตัวประหลาด
และแนวเพลงของพวกเราก็ไม่ได้ดุดันมากมายขนาดนั้น
เลยยิ่งเครียดถึงเครียดที่สุดคือกลัวโดนปาของใส่
พวกเราบูมกันก่อนขึ้นเล่นทั้งทีมพวกเราสวดขอพรองค์พ่อพระพิศฆเนศ
ระหว่างที่เราบูมเสียงเพลง ROCK BOTTOM - UFO ดังขึ้นพอดี
อะไรมันจะขนาดนั้น โหแม่งฟังตั้งแต่เด็กๆ รู้สึกดีขึ้นเมื่อได้บูม
แต่ยังกดดันอยู่และเมื่อ เบิร์ทตี china ขึ้น1.2.3.4 ทุกอย่างเปลี่ยนไป
ทุกคนโห่ร้อง และร่วมปรบมือตามเพลงจังหวะ ของเพลง แค่นิยาย
ความกลัวของผมหายไปอย่างปริดทิ้ง
คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเริ่มทยอยเข้าเรื่อยๆจากหลักร้อย เป็นหลายร้อย
เป็นหลักพัน! ตามด้วยเพลง ความฝันของเรา ขอ , เปลือก , ลุกขึ้นสู้
เมื่อจบเพลงทุกคนโห่ร้องและปรบมืออย่างกึกก้องเสียงดังมาก
และเพลงที่ผมคิดว่าคนดูน่าจะมีส่วนร่วมมากที่สุดนั้นก็คือเพลง Yes sir!
โดย hook พวกเราเปลี่ยนแปลงเนื้อจากคำว่า retrorian เป็น
what ta f**k?
yes sir! เป็น wacken! ซึ่งระหว่างเพลงมีฝรั่งเล่น body surf ด้วย ลอยเลย
จนมาถึงเพลงสุดท้าย ไม่มีเธอ hilight ของมันอยู่ที่ตอนท้ายของเพลง
ตัวผมได้ถือธงชาติไทย โบกสบัดในเวที wacken และพี่บอมลงไปเล่น bodysurf อย่างเมามันส์กับคนดู
นับเป็นการปิดฉากที่สวยงามมากๆ หลังจากที่เดินออกจากเวที
ผมได้ยินเสียงคนดูจากข้างล่างเวทีคล้ายๆกับตอนที่ napalm death เล่นจบ
นั่นคือ encore นั่งเอง!
แต่ไม่ได้เล่นต่อเพราะเวลามันหมดแล้วฝรั่งเค้าตรงต่อเวลา
ด้วยประกอบกับเส้นเสียงของผมที่ไม่ค่อยจะสู้ดีกับอากาศที่หนาวและแห้งแบบนี้
มากนัก ผมดีใจมากแทบกลั้นน้ำตาแทบไม่อยู่ อีกแล้ว ทำไงได้ก็มันปลื้มหนิ
พวกเราได้มอบของที่ระลึกจากเมืองไทยให้กับทีมงานบนเวทีทั้งหมดและทำให้ผมคิด
ขึ้นได้เรื่องหนึ่งคือ สิ่งที่ผมกลัว สิ่งที่ผมวิตก จริงๆแล้ว
มันไม่มีอะไรเลย ผมสามารถพูดได้เต็มปากว่าผมไปเจอ
metal head
ของจริงมาแล้ว เค้าน่ารักมากๆ ไม่ได้มี ego มากมาย ไม่มีอคติ
ดนตรีคือดนตรี จริงใจทุกคน ฉะนั้นชาว metal head
เมืองไทยทั้งหลายเจอหน้าพวกผม ยิ้มให้ผมบ้างก็ได้นะครับ
หลังจากที่เราเล่นเสร็จพวกเราก็เดินไปที่พักศิลปิน
ความตื่นเต้นยังไม่จบแค่นั้น! เพราะเรากำลังเราเข้าไปในดงงูเห่า
ซึ่งมีตัววงพ่อทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น motorhead testament napalm death
dragonforce ufo doro tristania heaven and hell(black subbath)
และวงรุ่นใหม่ชื่อดังอย่าง BRING ME THE HORIZON , BULLET FOR MY
VALENTINE และอีกหลายๆวงที่ผมไม่รู้จัก
พวกเราได้แต่ดูอิริยาบถว่าเขาทำอะไรกันบ้าง
ก็ไม่แตกต่างอะไรจากพวกเรามากนัก ดื่มตั้งวงคุยกัน
บางวงนั่งเล่นอินเตอร์เน็ต
ทานอาหารซึ่งเค้าจัดที่พักศิลปินได้ดูดีเลิศหรูพอสมควร
เราได้มีโอกาสชักภาพ ร่วมกับหลายวง เหมือนกัน
แต่ไม่ได้ถ่ายทุกวงเพราะตรงนั้นค่อนข้างจะเป็นส่วนตัวมากๆกลัวจะโดนเตะเอา
และเข้าใจว่าศิลปินต้องการความเป็นส่วนตัวในช่วงนั้น
ที่พักศิลปินต่างจากบ้านเราอย่างสิ้นเชิง! พวกเรานั่งดื่มเบียร์ wacken
กันโดยไม่ค่อยรู้สึกถึงความมึน
เพราะอากาศค่อนข้างเย็นและเบียร์เค้าอ่อนมาก
ส่วนใหญ่ทุกคนจะดื่มเบียร์แทนน้ำเปล่ากัน
จากนั้นเราได้รับเกียรติพิเศษอีกแล้ว!
พวกเราทั้งหมดได้มีโอกาสไปนั่งดื่มกันบน โต๊ะลอยฟ้า
ที่ใช้รถเครนดึงขึ้นไปสูง 50 เมตร และเราก็กลายเป็น
jagermeister fanclub
กันในที่สุด 5555555 พวกเราดื่มฉลองความสำเร็จเล็กๆกันบนนั้น
พร้อมกับเห็นงาน wacken ทั้งงาน และวงที่กำลังแสดงอยู่ในขณะนั้นคือ
hammerfall ผู้คนมากมายที่ชมคอนเสิรต์อยู่ยกมือตามจังหวะกันเป็นร่วมแสน
ผมคิดในใจทำไมโชคดีขนาดนี้วะเนี่ย เราเป็นใครวะ! เราอยู่กันประมาณ 20 นาที
และได้มีโอกาสเดินบริเวณรอบๆงาน
เราค่อนข้างจะเป็นคนที่แปลกสำหรับที่นั่นเพราะมีแต่ชาวยุโรป
มีพวกเรากลุ่มเดียวที่เป็นชาวเอเซียเดินกันตัวเล็กๆหัวดำๆกัน
ตลอดระยะทางที่เดินมีฝรั่งเข้ามาทักมาก พูดคุยกับพวกเรา ขอถ่ายรูป
ส่วนใหญ่เค้าบอกว่า เค้าไม่เคยรู้จักพวกเรามาก่อน
แต่พอได้เห็นเค้ากลับชอบพวกเรามาก
ทำให้พวกเราเป็นปลื้มมากๆทั้งๆที่พวกเขาเดินใส่หนาม ใส่เสื้อกั๊ก ติด tag
วง โหดๆ แต่เขาเข้ามาทักทายเราด้วยความจริงใจ
ผมว่าพวกเขาไม่ได้เสแสร้งหรอก! หลังจากนั้นเราได้แวะไปเดินตลาดชาว
metalhead ตลาดใหญ่พอสมควร มีทุกอย่างเท่าที่จะนึกได้และเกี่ยวกับร็อค
ซึ่งตรงนี้ต้องบอกตามตรงว่าได้ควักเงินในกระเป๋าของพวกเราไปเยอะพอสมควรเลย
ของที่ไม่มีขายในเมืองไทยกลับมีขายอย่างเกลื่อนกลาด ผมหมดไปหลายยูโร
เลยทีเดียว แดดร่มลมตกก็ปาไปซัก 4ทุ่มครึ่ง
เห็นจะได้พวกเราเดินทางกลับโรงแรม อย่างมีความสุขกันมากๆ
รีบไปเก็บตัวเอาแรงเพื่อที่จะลุยกันในงานวันพรุ่งนี้ต่อ….
วันที่ 31 ก.ค เป็นวันที่พวกเราไม่ได้เล่นแล้ว
แต่เป็นวันสำคัญของชีวิตของพวกเราอีกหนึ่งครั้ง คือเราจะได้ดูวงที่เป็น
idol ของพวกเราตอนเด็กๆ นั่นก็คือ
machine head !
วันนี้ต่างคนต่างแยกกันเดินดูในงาน เมื่อไปถึงที่งาน
วงแรกที่ผมได้ดูนั้นคือ tastament ตัวพ่อของพวกเราอีกวงหนึ่ง sound
ดีมากๆไม่รู้เขาปั้นกันยังไงทั้งที่ลมบริเวณนั้นค่อนข้างแรงมากๆ
จริงๆแล้ววงที่ขึ้นเล่นทั้งหมดทุกวง sound ดีเนี๊ยบทุกวง
พวกเรานั้นมารวมตัวกันและเดินอีกโซนก็เป็นเหมือนโซน otop ของบ้านเขา มีของ
handmade ขายหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น เขาสัตว์ ดาบ โล่ ฯลฯ ซึ่งเบิร์ท
ได้มีโอกาสโชว์ฟันดาบแบบไทยๆไปรบกับพวกนักรบไวกิ้งด้วยอันนี้ฮามากเพราะนัก
รบไวกิ้งนั้นไม่ทันพวกเราเลย ไอ้เบิร์ทฟันเป็นลิงลมเลย หึหึหึ และ
กิจกรรมสุดฮาอีกหนึ่งอย่างคือ
ฟุตบอลนัดกระชับมิตรระหว่างทีมชาวร็อคไทยกับทีมชาวร็อคเยอรมัน
ก็เริ่มต้นขึ้น พี่โน่ได้มีโอกาสยิงไปหนึ่งประตู สนุกมากๆ
คนมาดูกันเยอะพอสมควร แต่เราก็โดนไปเยอะเหมือนกัน หึหึหึ
บอลไทยไปบอลโลกแล้วเว้ย 5555 และมันก็หลายวงเหลือเกินที่ผมไม่รู้จักอย่าง
rage axel rudi pell pain heavenshallburn(วงนี้ผมชอบมากๆเป็นวงจาก
germany) เพลงดีมาก และพวกเขาสั่งทำ circle pit ที่วงใหญ่มากๆบอกตามตรง
ลองคิดคนเกือบหลักหมื่นวิ่งเป็นวงกลมแล้วกันครับ ! แล้วก็อีกเยอะมากๆครับ
สรุปทุกวงเล่นดีหมด ซาว์นดี เพลงดี มันดีทุกวง !
ไม่รู้หล่ะตอนนี้ผมอยากเจอหน้าตาของ
rob Flynn idol ของผม
อีกคนหนึ่ง ใจจะขาดแล้ว พวกเรามายืนรอดู volbeat จนจบ
พระอาทิตย์เริ่มตกดิน ผู้คนเริ่มเดินเข้ามา แน่นมากขึ้นเรื่อยๆ
มากจริงๆครับจากที่ผมคาดคะเน ผมว่าเกิน 8 หมื่นแน่ๆ หลักแสนกว่าๆแน่นอน
คนเยอะมากจริงๆคับ และเวลานี้ก็มาถึง! Overture ของ mechine head ดังขึ้น
ต้องยอมรับว่าผมเริ่มเสียสติเพราะ เพลง overture ของเขา
ทำออกมาได้ดีและน่าขนลุกมากๆ แสงสีของเวทีเป็นสีแดงฉากเป็นไฟกำลังลุกอยู่
เหมือนไฟลุกจริงมากๆ จากนั้นเสียงกีต้าร์ จากเพลง imperium จากชุด through
the ashe of empires ผมเรียกชุดนี้ว่า ชุดฟื้นคืนชีพ
หลังจากที่หลงแสงสีในความเป็น nu metal ไปพอสมควร
ขนหัวผมลุกตั้งอย่างกับเจอผีจับหัวอย่างนั้นแหล่ะ55555 ซึ่งแน่นอนพวกเรา
กลายเป็นคนดูและโยกกันอย่างบ้าคลั่ง จนคนที่อยู่รอบๆเรายิ้ม
คงคิดว่าพวกเรามันร้องกันได้ไง ตลกดี
พวกเขาหยิบยกเพลงจากอัลบั้มแรกๆมาเล่นหลายเพลง แต่พวก อย่าง ten ton
hammer / none but my own
นี่ขนาดเขียนไปยังนั่งขนลุกไปเพราะรู้สึกถึงตรงนั้นได้ เราดูได้ไม่จบโชว์
เพราะนัดรถตู้กลับไว้ 4 ทุ่มครึ่ง น่าเสียดาย แต่ไม่เป็นไร ยังไง
ผมก็เคยดู machine head แล้วเว้ย ไม่เสียชาติเกิด 5555
ขากลับพี่โน่ได้นั่งรถตู้กับ amon amarth ด้วย เพราะรถทีมเราที่นั่งไม่พอ
ถือว่าเป็นการปิดฉาก การมาทัวร์คอนเสิร์ตที่ wacken อย่างสวยงาม
นั่นคือประสบการณ์ที่อาจจะเป็นก้าวเล็กๆถ้ามองในฐานะวงระดับโลก
แต่สำหรับพวกเรา RETROSPECT
ถือว่าเป็นการเปิดประสบการณ์ครั้งใหม่และก้าวที่ใหญ่มากๆ
การที่พวกเราได้ไปในครั้งนี้ ก็ได้แอบหวังเล็กๆว่า
เทศกาลระดับโลกแบบนี้จะมีพื้นที่เล็กๆ ให้กับพวกเราคนไทย
ได้โชว์ฝีมือกันอีก(หลายๆครั้ง) ให้โลกได้รู้ว่า
เมืองไทยก็มีนักดนตรีดีๆแนวนี้เหมือนกัน แล้ววงไหนที่ได้ไป
คุณจะรู้สึกภาคภูมิใจมาก เหมือนกับที่ผมตะโกนอย่างกึกก้องบนเวที wacken
ว่า “
พวกกูคือคนไทยเว้ย” แล้วพวกคุณจะรู้ว่าความผยองราชนั้นเป็นเช่นไร ขอบคุณทุกคนมากครับ
ติดตามภาคต่อ “ ชีวิตใน hamburg กับ retrospect ” ได้ที่
www.retrospectrock.com บ้ายบายจ๊ะ จุ๊บๆ
บทความโดย : แน๊ป Retrospect
ข้อมูลโดย genie records และ The Guitar Magazine ฉบับเดือน ตุลาคม 2552