ในช่วงปลายปี1960ซึ่งเป็นช่วงจุดอิ่มตัวของเพลงยุค ’60 คนเริ่มที่จะหาแนวเพลงใหม่ๆที่ฉีกออกไปและก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ Kool Herc หนุ่มชาวจาไมกาที่ย้ายมานิวยอร์คพร้อมกับนำดนตรีสไตล์จาไมกาเข้ามา จุดเด่นของเค้าก็คือการเปิดเพลงพร้อมกับท่อนร้องสดๆควบคู่กันซึ่งก็ได้รับความนิยมขึ
้นเรื่อยๆ จนมาวันนึง Kool Herc พบว่าเพลงบางเพลงสามารถทำให้คนเต้นรำกันได้อย่างสนุกสนานแต่มีช่วงเวลาที่น้อยไป เขาจึงนำเครื่อง Turntable มา2ตัวแล้วเปิดเพลงเดียวกันแต่สลับกลับไปกลับมาทำให้เกิดการ Mixing ขึ้นเป็นครั้งแรกซึ่งต่อมา Kool Herc ได้รับการยอมรับว่าเป็น DJ คนแรกของโลก
นอกจากนั้น Kool Herc ยังเป็นคนริเริ่มคำร้องต่างๆอย่างเช่น “ Throw your hand in the air / and wave ‘em just like ya don’t care” ซึ่งเมื่อก่อนเรียกกันว่า “Mcing” ก่อนจะกลายมาเป็น “Rap” ในปัจจุบัน. หลังจากนั้น Kool Herc ก็มอบหน้าที่แร็ปให้กับเพื่อน2คนคือ Coke la rock และ Clark Kent (คนละคนกับตาSuperman นั่นนะครับ) และตั้งทีมขึ้นมาชื่อว่า “Kool Herc and the Herculoid” ถือเป็นกลุ่มMC ทีมแรกของโลก
จากนั้นในปี 1975 Grand Wizard Theodore ก็ค้นพบเทคนิกการ Scratching อย่างบังเอิญขณะกำลังเล่นอยู่ในห้องนอนของตัวโดยเกิดจากการดึงแผ่นกลับไปกลับมาทำให้
เกิดเสียงแปลกๆขึ้น. จากนั้นเค้าเริ่มทดลองดูกับแผ่นอื่นๆจนได้เสียงที่คนฟังเข้าใจและนำมาแสดง. และก็ได้รับรางวัลจาก International Turntable Foundation ในฐานะผู้คิดค้นการ Scratch
ช่วงนั้นเริ่มมีการออกอัลบั้มฮิพฮอพขึ้น และ1ในนั้นคือ “Rapperdelight” ของ Sugar Hill สามารถขายได้ถึง2ล้านก้อปปี้ทั่วโลก และยังถูกวางเป็นรากฐานของเพลงฮิพฮอพมาจนถึงทุกวันนี้
ปี1983 ซิงเกิ้ล “White line(don’t do it)” ของ Grand Master Flash ร่วมกับ Melle Mel ซึ่งเป็นเพลงแอนตี้การใช้โคเคน ก็ดังกระหึ่มไปทั่วโลกและผลักดันให้แนวเพลงฮิพฮอพหลุดจากตลาดอันเดอร์กราวน์ขึ้นมาเท
ียบแนวอื่นอย่างสง่าผ่าเผย
ต่อมา กลุ่มคนจากเยอรมันในนาม “The Kraftwork” ได้นำแนว Africa Bombata เข้ามาเผยแพร่ด้วยซิงเกิ้ล “Trans-Europe Express” ซึ่งเป็นเพลงแร็ปที่มีเสียง Electronic แทรกอยู่ เพลงอย่าง “Planet rock” ที่ร่วมงานกับ Soul Sonic ก็ขายในอเมริกาได้ถึง 620,000 ก้อปปี้ ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าของเพลงแนวฮิพฮอพอย่างแท้จริง, วัฒนธรรมฮิพฮอพทั้ง ทีมMC, นักพ่น Graffiti, B-Boy เริ่มถือกำเนิดขึ้น
ในปี 1984 วงRun D.M.C. ก็จุดประการวัฒนธรรมการแต่งตัวของชาวฮิพฮอพโดยมาพร้อมกับชุดกีฬาและสร้อยทองเส้นโตซึ
่งต่อมาเรียกกันว่าการแต่งตัวแบบ “Streetstlye”. เพลงอย่าง “My Adidas” ที่ร้องถึงรองเท้าคู่โปรดทำให้ Run D.M.C.เป็นนักร้องฮิพฮอพกลุ่มแรกที่มีสปอนเซอร์เพราะ Adidas ยอมจ่ายเงินเป็นจำนวนเลข6หลักซึ่งถือว่ามากในสมัยนั้นเพื่อให้ใส่ชุดของพวกเค้าตั้งแ
ต่หัวจดเท้าเลย
ปีต่อมา กลุ่ม Rapperอื้อฉาว จากไมอามี่นาม 2 Live Crew ก็ทำเอาแตกตื่นด้วยเนื้อหาที่เน้นขายเรื่องใต้สะดือเป็นหลักเกือบทั้งอัลบั้มจนมีข่า
วถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาลและจั่วหัวหน้า1ไปทั่วประเทศกับอัลบั้ม “As nasty as they wanna be” หลังจากมีการฟ้องร้องกันไปพวกเขาก็ยังไม่เข็ดแต่กลับจัดทัวร์คอนเสิร์ตเรต R และออกอัลบั้ม “Banned in the U.S.A.” อีกแต่แล้วก็ค่อยๆเงียบหายไปโดยทิ้งเพลงอย่าง “Me so horny” ไว้ให้นึกถึง
1986 เพลง “Fight for your right to party” ของ the Beastie boys กลายเป็นเพลงโปรดของบรรดาเหล่าวัยโจ๋หัวดื้อทั้งหลายทั่วโลก และด้วยเหตุที่สัญลักษณ์ของพวกเค้ามีลักษณะคล้ายโลโก้ที่ติดอยู่หน้ารถ Volkswagon จึงถูกวัยรุ่นขโมยแกะออกมาจากรถระบาดไปทั้งอเมริกาและยุโรป
ถัดมาอีกปี the Beastie boys ค้นพบหนุ่มผู้มีพรสวรรค์นาม LL Cool J นำมาขัดเกลาออกซิงเกิล “I need love” ในสไตล์เสียงร้องนุ่มๆเซ็กซี่ๆ จนเป็นที่มาของเพลงแนว Rap&Ballad หรือ R&B ในยุคแรกๆและเพลงนี้ก็ขึ้นถึง European top10 ส่วนตัวของ LL Cool J เองก็ขึ้นทำเนียบเป็น Superstar รุ่นใหญ่ที่อยู่ในวงการมายาวนานที่สุดและยังคงทำเพลงในสไตล์ตัวเองอยู่มาจนถึงปัจจุบ
ัน
ปี1988 “NWA” ที่มีสมาชิกในกลุ่มคือ Ice Cube(คนก่อตั้ง), Dr Dre, DJ Yella, MC Ren และ Eazy-E ถูกกล่าวขวัญกันอย่างแพร่หลายด้วยแนวเพลงที่มีเนื้อหารุนแรงเกี่ยวข้องกับยาเสพติด, ปืน พูดถึงการตายอย่างน่าเศร้าของเด็กวัยรุ่นผิวดำที่เข้าไปพัวพันกับแก๊งอิทธิพลและพวกพ
่อค้ายาทำให้คนอเมริกันต้องเหลียวมามองสังคมเหล่านี้
เพลง “f**k the police” ที่เหล่า N.W.A. อ้างว่าแค่พูดในสิ่งที่เห็นถึงการทำงานของตำรวจนอกรีตใน L.A. ทำให้ F.B.I. ยื่นมือเข้ามาสืบสวน, คลื่นวิทยุและโทรทัศน์ล้วนแต่กระหน่ำเปิดเพลงของพวดเค้า ซิงเกิ้ล “Straight Outta Compton” ได้รางวัลแผ่นเสียงทองคำในเวลาเพียงแค่6อาทิตย์หลังโปรโมท แม้ว่าพวกเค้าจะแยกย้ายกันไปเพื่อทำงานเดี่ยวของตัวเอง แต่NWA ก็ยังถูกยกให้เป็น Gangsta Rapper ที่ดังที่สุดเท่าที่เคยมีมาอยู่ดี
ปี1988นี้ยังได้เกิดศิลปินดังๆอีกมากมายอาทิเช่น Public Enemy, Eric B and Rakim, Salt-N-Pepa, DJ Jazzy Jeff and the Fresh Prince (Will Smith)
1999 2Pac Amaru Shakur หรือที่รู้จักกันดีในนาม 2Pacก็เริ่มสร้างชื่อเสียงในวงการกับอัลบั้ม “2Pacalypse now” ที่ได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำและซิงเกิ้ล “Trapped” ก็ไต่ขึ้นถึงอันดับ3ใน U.S.Chart และ2ปีหลังจากนั้นทั่วโลกก็ได้รู้จัก 2Pac กับอัลบั้ม “Strictly a my N.IG.G.A.Z” 2Pac กลายเป็นศิลปินฮิพฮอพอันดับต้นๆของวงการทันที
ปี 1992 “House of Pain” วง Hardcore Rapper ลูกผสมระหว่าง American&Irish ก็กระหึ่มโลกด้วยเพลง “Jump Around” ที่ภายหลังกลายมาเป็นเพลงที่เปิดกันทุกคลับ หลังจากนั้น ก็แยกย้ายกันไป Everlast ก็ไปออกอัลบั้มและ DJ Leathal ก็ไปเป็นดีเจให้กับวงดังอย่าง Limp Bizkit นอกจากนี้ ศิลปินอย่าง Cypress Hill ก็เริ่มนำสไตล์ Rap แบบ Latin และ Mexican เข้ามาเผยแพร่ในฝั่ง West coast ทำให้ฝั่ง West coast เปิดกว้างสำหรับเพลงแนวใหม่ๆเสมอในขณะที่ East coast ยังคงอนุรักษณ์ในแบบเดิมๆไว้1993 ด้วยแรงโปรดิวซ์เองของ Dr Dre ทำให้ Snoop Doggy Dogg ก้าวขึ้นมาจรัสแสงในวงการอย่างเต็มภาคภูมิ, อัลบั้ม “Doggy Style” นับเป็นอัลบั้มฮิพฮอพอัลบั้มแรกที่ขึ้นอันดับ1ในเวลาแค่เพียงอาทิตย์เดียวและขายได้ม
หาศาลกว่า4ล้านก้อปปี้ทั่วโลก ทำให้กระแสเพลงแนวฮิพฮอพเริ่มฮิตไปทั่วโลก ศิลปินต่างๆพากันทยอยออกเทปไม่ว่าจะเป็น Wu Tang Clan, Nas, Warren G1995 Notorious B.I.G. หรือชื่อจริงว่า Christopher Wallace ออกอัลบั้ม “Ready to die” ที่ใช้แรงบันดาลใจมาจากชีวิตจริงในช่วงเด็กที่ต้องวนเวียนอยู่กับการขายยาเสพติดเพื่
อหาเงินประทังชีวิตและอัลบั้มที่ 2 “Life after death” ได้รับรางวัล Platinum หลายรางวัลรวมถึงเพลงในอัลบั้มอย่าง “One more chance” ก็ไต่ขึ้นอันดับ1อย่างรวดเร็ว
มาถึงปี 1996 Notorious B.I.G. ก็ค้นพบช้างเผือกอย่าง Lil’ Kim ที่ดังตั้งแต่อายุ17กับเพลง “Crush on you” แม้จะถูกวิจารณ์จากผู้คร่ำหวอดในวงการฮิพฮอพว่าเพลงของเธอหยาบคายและสกปรกแต่เธอก็ไม
่แยแสแต่อย่างใด
ในปีเดียวกัน วง “The Fugees” ซึ่งประกอบด้วย Wyclef, Pras และ Lauren Hill ก็พลิกโฉมวงการเพลงฮิพฮอพอีกระลอกกับเพลงที่มีเนื้อร้องฟังสบายๆ ใช้คำไพเราะ ต่อต้านความรุนแรงบวกกับเมโลดี้ที่เป็นการรวมฮิพฮอพเข้ากับ Soul, Raggae และ Jazz ทำให้เพลงเก่าที่เอามาร้องใหม่อย่าง “Killing me softly” ของ Roberta Flack’s เป็นซิงเกิ้ลที่ขายได้มากที่สุดตลอดกาลด้วยยอดขายถึง 9ล้านก้อปปี้ ได้รับรางวัล Grammy สาขา Best Rap Album ในปี1997และเป็นซิงเกิ้ลแห่งปีด้วย
แต่ที่น่าจดจำที่สุดคงหนีไม่พ้นการประกาศสงครามฮิพฮอพระหว่างฝั่ง East coast ที่นำโดย 2Pac เน้นสโลแกนที่ว่า “Keep it real” ยึดแนวเพลงแบบเดิมๆ กับฝั่ง West coast ที่มีหัวเรือใหญ่อย่าง Notorious B.I.G. กับวลี “It’s all good” เปิดใจรับแนวทางใหม่ๆเสมอ แข่งกันอย่างดุเดือดก่อนจะจบลงอย่างน่าเศร้าเมื่อทั้งคู่ถูกยิงตายขณะอยู่ในรถเหมือน
กันในเวลาห่างกันไม่นานและคดีก็ยังไม่สามารถคลี่คลายจวบจนทุกวันนี้
1997 หลังจากเหตุการณ์น่าสลดผ่านไป ผลการสืบสวนคดีที่เกิดขึ้นได้พัวพันไปถึงค่าย Death Row Records ที่ Dr Dre กุมบังเหียนอยู่ Suge Knight โปรดิวเซอร์ของค่ายติดคุก9ปี, Afeni Shakur แม่ของ 2Pac ฟ้องร้องบริษัทข้อหาฉ้อโกงเงินลูกชายของเธอนับล้าน ศิลปินรายอื่นพลอยตาสว่างและพยายามยกเลิกสัญญาหรือปรึกษาทนายที่จะออกจากค่าย จะมีก็แต่เพียง Daz Dillinger ที่ยังอยู่
Snoop Dogg ตัดสินใจย้ายหนีพร้อมกับเปิดใจให้สัมภาษณ์ว่าต้องการหลีกหนีความรุนแรงและหาที่สร้าง
สรรค์งานใหม่ๆ แต่ประโยคที่สะกิดใจที่สุดจนถึงทุกวันนี้ก็คือประโยคที่ว่า “To tell you the truth, I fear for my life on Death Row Records”